แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและปัจจัยที่มีผลกระทบ
ตลาดน้ำมันดิบยังคงมีแนวโน้มราคาที่สูงขึ้น โดย ณ เวลา 15:31 น. ตามเวลาประเทศไทย ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent Crude) อยู่ที่ 73.77 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.20% ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ 70.09 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.21% สถานการณ์ทางการเมืองในตะวันออกกลางและการคาดการณ์ว่า OPEC+ จะขยายระยะเวลาการลดการผลิตเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนราคาน้ำมัน
สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงในอุปทาน
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางได้เป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน โดยสถานการณ์การหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและเลบานอนยังคงไม่แน่นอน การเคลื่อนไหวของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์และกองกำลังต่อต้านในซีเรียทำให้ความตึงเครียดในภูมิภาคยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อิสราเอลได้ประกาศว่า หากข้อตกลงหยุดยิงล้มเหลว จะมีการดำเนินการทางทหารที่ขยายตัวขึ้น และเป้าหมายอาจรวมถึงเลบานอน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการขัดจังหวะอุปทานน้ำมันในภูมิภาค
นอกจากนี้ การประกาศภาวะกฎอัยการศึกในเกาหลีใต้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในเอเชียตะวันออก แม้ว่ากฎอัยการศึกจะถูกยกเลิกในเวลาไม่นาน แต่ความไม่แน่นอนในตลาดยังคงมีอยู่
ทิศทางนโยบาย OPEC+
การประชุมของสมาชิก OPEC+ ที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์นี้ได้กลายเป็นประเด็นที่นักลงทุนจับตามอง โดยมีแหล่งข่าวในวงการระบุว่า OPEC+ อาจตัดสินใจขยายระยะเวลาการลดการผลิตออกไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2025 เพื่อปรับสมดุลระหว่างอุปทานและความต้องการ น้ำมัน OPEC+ จะยังคงได้รับการสนับสนุนจากตลาดในระยะสั้น แต่ในระยะยาว การเติบโตของอุปทานจากประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก OPEC อาจเป็นตัวแปรใหม่ที่สร้างความไม่แน่นอน
นักวิเคราะห์จากธนาคารออสเตรเลียแนะนำว่า การเติบโตของอุปทานจากประเทศนอก OPEC อาจมีอัตราที่เกินกว่าการเติบโตของความต้องการน้ำมันในปี 2025 ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับนโยบายของ OPEC+
ข้อมูลสต็อกน้ำมันและแนวโน้มความต้องการในสหรัฐฯ
ข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบในสหรัฐฯ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อทิศทางตลาด โดยข้อมูลจาก API ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สต็อกน้ำมันดิบในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 4.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ที่ปกติจะมีความต้องการน้ำมันเบนซินสูง ทำให้สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอในความต้องการภายในประเทศ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันในระยะสั้น
ตลาดกำลังรอการเปิดเผยข้อมูลสต็อกน้ำมันจากหน่วยงานพลังงานสหรัฐ (EIA) ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการลดลง 7 แสนบาร์เรล สำหรับน้ำมันดิบ และเพิ่มขึ้น 6.39 แสนบาร์เรลสำหรับน้ำมันเบนซิน หากข้อมูลออกมาตรงกับที่คาดไว้ อาจทำให้การคาดการณ์เกี่ยวกับความต้องการน้ำมันในสหรัฐฯ ได้รับการปรับเปลี่ยน และมีผลต่อราคาน้ำมัน
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
แม้ตลาดจะได้รับการสนับสนุนจากหลายปัจจัย แต่ราคาน้ำมันยังคงเผชิญกับแรงต้านที่สำคัญ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ได้เพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่มากที่สุดในรอบสองสัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของฝั่งซื้อ แต่จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค 73.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อาจเป็นระดับต้านที่สำคัญในระยะสั้น หากสามารถผ่านจุดนี้ไปได้ ราคาน้ำมันอาจมีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อไป
ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI กำลังเคลื่อนไหวอยู่ที่ราว 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่แรงบวกจากข้อมูลสต็อกและปัจจัยพื้นฐานยังคงถูกจำกัด
แนวโน้มระยะสั้นและระยะยาว
ในระยะสั้น แนวโน้มราคาน้ำมันจะยังคงได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายของ OPEC+ หากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงขึ้น หรือ OPEC+ ตัดสินใจขยายการลดการผลิต ราคาน้ำมันอาจมีแนวโน้มขึ้นต่อไป แต่หากข้อมูลสต็อกน้ำมันจากสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด ราคาน้ำมันอาจได้รับแรงกดดัน
ในระยะกลางและยาว สมดุลระหว่างอุปทานและความต้องการยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางของราคาน้ำมัน การเติบโตของอุปทานจากประเทศที่ไม่ใช่ OPEC และความต้องการที่ยังคงแข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการคาดการณ์ราคาน้ำมันในอนาคต
ความคิดเห็นของผู้ใช้
ยังไม่มีความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น